4 นักบอลระดับโลกฟอร์มเคยล่วงแต่กลับมาฟอร์มดีในฤดูกาลนี้
สำหรับนักฟุตบอลบางคน สามารถเริ่มต้นอาชีพได้สวยตั้งแต่ลงเตะไม่เพียงกี่ฤดูกาล แต่ก็มีนักฟุตบอลหลายคนที่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อขึ้นมาสู่สุดยอดนักเตะฟุตบอลระดับท็อป ยกเว้นนักเตะที่เก่งตั้งแต่เยาวชนอย่างรูนีย์หรือเอ็มบัปเป้ ที่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ลงสนาม แต่ก็มีนักเตะหลายคนที่ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีตั้งแต่เริ่มต้น โดยในบทความนี้จะมาแนะนำนักเตะที่ฟอร์มแย่ในฤดูกาลที่ผ่านๆ มา แต่กลับสามารถโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้งในฤดูกาลนี้
1. เมมฟิส เดปาย (กองหน้า/โอลิมปิก ลียง)
เมมฟิส เดปายเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในราคา 25 ล้านปอนด์ ในปี 2015 หลังจากใช้เวลากว่า 3 ปีครึ่ง ในการโชว์ฟอร์มอันสุดยอดในลีกเนเธอร์แลนด์ และก้าวไปติดชุดใหญ่ทีมชาติ เขาเป็นนักเตะที่ได้รับความคาดหวังสูงมาก และทุกคนรู้ว่าเมมฟิสได้พยายามอย่างมากที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่เขาสามารถทำได้เพียง 7 ประตู จาก 53 นัด และใช้เวลาส่วนมากกับทีมสำรอง ทำให้เดปาย กลายเป็นหนึ่งในดีลที่ล้มเหลวของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เดปายออกจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเดือนมกราคมปี 2017 เพื่อโอกาสการเล่นที่มากขึ้นกับทีมในฝรั่งเศสอย่างโอลิมปิก ลียง หลังจากได้ลงเล่นกับทีมใหม่ ฟอร์มของเดปายก็กลับมาดีอีกครั้ง ด้วยการทำไป 50 ประตู จาก 130 นัด เขาเหมือนกลายเป็นนักเตะคนเดิมสมัยอยู่ในลีกเนเธอร์แลนด์อีกครั้ง และกลายเป็นกองหน้าตัวจริงของเนเธอร์แลนด์ของโรนัลด์ คูมัน และสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม กับผลงาน 14 ประตู จาก 24 นัดในนามทีมชาติ โดยในฤดูกาลนี้เดปายทำไปแล้ว 6 ประตู จาก 7 ที่ผ่านมาทั้งกับทีมชาติและสโมสร ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา ทำให้เดปายกลายเป็นนักเตะชื่อดังอีกครั้ง โดยมีสโมสรใหญ่ๆ หลายทีมจับตา เป็นที่คาดกันว่าหลังจบฤดูกาลนี้ เดปายเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีโอกาสย้ายทีมค่อนข้างสูง เพราะลียงอาจเล็กเกินไปสำหรับเขาตอนนี้
2. มาร์ติน โอเดการ์ด (กองกลาง/เรอัล โซเซียดาด)
โอเดการ์ดเป็นผู้เล่นที่ได้รับความคาดหวังว่าจะกลายเป็นนักเตะระดับโลกตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในลีกนอร์เวย์ สามารถเป็นผู้เล่นตัวจริงให้กับทีมชุดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี จึงทำให้โอเดการ์ดเป็นที่จับตามองในบรรดาทีมยักษ์ในยุโรป และเป็นเรอัล มาดริดที่สามารถคว้าตัวกองกลางที่ดีที่สุดรายนี้ไปได้ในปี 2015 ด้วยวัยเพียง 16 ปี
หลังจากที่ย้ายมาในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาบิว โอเดการ์ดกลับไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ โดยเขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ด้วยฐานะตัวสำรองเพียง 2 นัดเท่านั้น โดยอันเชล็อตติกล่าวว่าดีลนี้เป็นเพียงแค่แผนการประชาสัมพันธ์ของสโมสรเท่านั้น จึงทำให้ที่ผ่านมาโอเดการ์ดไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามเท่าที่ควร ถูกปล่อยยืมตัวให้กับทีมฮีเรนวีนและวิเทสส์ในลีกฮอลแลนด์ และได้กลับมาสเปนอีกครั้งในสัญญายืมตัวกลับเรอัล โซเซียดาด
ที่โซเซียดาดโอเดการ์ดสามารถกลับมาโชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยมได้อีกครั้ง ด้วยผลงาน 2 ประตู 3 แอสซิสต์ จาก 10 นัดที่ผ่านมา จนทำให้โอเดการ์ดได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนของลาลีกาไปครอง ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม ทำให้เป็นที่คาดว่าโอเดการ์ดจะได้รับโอกาสอีกครั้งที่เรอัล มาดริด
3. แซร์จ นาบรี้ (ปีก/บาเยิร์น มิวนิค)
นาบรี้คือหนึ่งในเตะที่สามารถยกระดับฟอร์มตัวเองได้อย่างน่าทึ่งที่สุด จากนักเตะที่ทีมเล็กๆ ยังไม่เอา กลายมาเป็นนักเตะระดับโลกในตอนนี้ “เขามาที่นี้เพื่อเตะฟุตบอล แต่ระดับการเล่นฟุตบอลของเขายังไม่ถึงขั้น” นี่เป็นคำพูดของโทนี่ พูลิส เจ้านายเก่าของเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่ตอบคำถามว่าทำไมแซร์จ นาบรี้ถึงไม่ได้รับโอกาสในทีมขณะทีถูกยืมตัวมาจากอาร์เซน่อล
ด้วยผลงานที่ยังไม่ดีพอทั้งกับอาร์เซน่อลและเวสต์บรอม อัลเบี้ยน ทำให้นาบรี้ถูกส่งไปเล่นให้กับทีมเบรเมนละฮอฟเฟนไฮม์ในเยอรมัน และสามารถทำผลงานได้ดีอีกครั้ง ทีมบาเยิร์น มิวนิคที่ชื่นชอบนาบรี้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเยาวชนเห็นโอกาสดี จึงรีบไปฉกนาบรี้มาจากอาร์เซน่อล และกลายเป็นหนึ่งในดีลที่คุ้มค่าที่สุดของบาเยิร์นมิวนิค ในตอนนี้นาบรี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนักเตะระดับโลกไปแล้ว ด้วยผลงาน 21 ประตู จาก 58 เกมกับบาเยิร์น มิวนิค และพึ่งสามารถทำแฮตทริกได้ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกที่บุกไปถล่มสเปอส์ยับคาบ้าน 7-2 ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม นาบรี้ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติชุใหญ่เยอรมัน และกลายเป็นนักเตะตัวหลักในทีมชาติ ด้วยผลงาน 10 ประตูจาก 10 นัด ถือเป็นการลบคำสบประมาทที่โทนี่ พูลิส เคยบอกว่าเขาเป็นนักเตะที่ยังไม่ดีพอสำหรับเล็กๆ เวสต์บรอม ในอนาคตเป็นที่คาดกันว่านาบรี้จะเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมบาเยิร์น มิวนิค และทีมชาติเยอรมันที่จะต้องการลุ้นคว้าแชมป์
4. จอร์จินโญ
จอร์จินโญสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างเยี่ยมให้กับเชลซีในฤดูกาลนี้ ด้วยผลงานการจ่ายบอลสำเร็จ (765 ครั้ง) และตัดบอล (23 ครั้ง) มากที่สุดในทีม นับเป็นนักเตะที่เล่นได้เข้ากับแผนของแฟรงค์ แลมพาร์ดมากที่สุด ด้วยทักษะการจ่ายบอล การอ่านเกม การเชื่อมเกม และการตัดบอลที่ยอดเยี่ยม
แต่ในฤดูกาลที่ผ่านมาภายใต้การคุมทีมของเมาริซิโอ ซาร์รี่ จอร์จินโญมักจะถูกโห่และถูกตำหนิจากแฟนบอล โดยริโอ เฟอร์ดินานตำนานกองหลังของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เคยกล่าวไว้ว่า จอร์จินโญเป็นกองกลางที่ยังไม่มีความสามารถมากพอ “เขาแอสซิสต์ไปกี่ครั้งในฤดูกาลที่ผ่านมา จากการจ่ายบอลกว่า 2,000 ครั้ง คำตอบคือ ไม่มีแอสซิสต์เลย เขาเป็นกองกลางที่ขาดความสร้างสรรค์ ได้แต่แปะบอลไปมา และเขาก็ยังไม่ใช่ตัวรับที่ดี แค่วิ่งไล่บอลเขายังทำได้ไม่ดีเลย”
แต่ในฤดูกาลนี้ภายใต้การคุมทีมของแลมพาร์ด จอร์จินโญสามารถเรียกฟอร์มเก่งเหมือนสมัยอยู่นาโปลีได้อีกครั้ง และกลายเป็นนักเตะคนสำคัญ ที่พาเชลซีชนะรวด 6 นัด โดยสิ่งที่พัฒนาขึ้นของจอร์จินโญ ไม่ใช่แค่วิสัยทัศน์ในการจ่ายบอลเท่านั้น แต่ยังมีภาวะความเป็นผู้นำที่เพิ่มมากขึ้น และจะเห็นจอร์จินโญมีส่วนในเกมรับมากกว่าฤดูกาลที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสู้ไม่ถอยของเขา ที่ก้มหน้าก้มตาซ้อมไม่สนใจเสียงวิจารณ์ และเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมา